ควรเริ่มจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหร่?

การเข้าชม : 42 ครั้ง
หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ทันตแพทย์จัดฟันมักได้รับจากคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงผู้ใหญ่ที่เริ่มสนใจดูแลสุขภาพช่องปาก ก็คือ
“ควรเริ่มจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหร่?”

แม้การจัดฟันจะเกี่ยวข้องกับความสวยงามเป็นหลักในความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริงนั้น การจัดฟัน (Orthodontic Treatment) มีจุดประสงค์สำคัญในการแก้ไขการสบฟันผิดปกติ (Malocclusion) เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบดเคี้ยว ลดความเสี่ยงต่อปัญหาเหงือก และปรับการเจริญเติบโตของโครงสร้างขากรรไกรให้สมดุล ซึ่งช่วงเวลาของการเริ่มรักษาจึงมีผลต่อผลลัพธ์ของการรักษาอย่างมาก

วัยเด็ก: 7 ขวบคือช่วงที่ควรเริ่ม "ประเมิน" การสบฟัน (แต่ไม่ใช่ว่าจะเริ่มจัดฟันทันทีในทุกกรณี)

ตามคำแนะนำของ American Association of Orthodontists (AAO) เด็กควรเข้ารับการตรวจฟันและช่องปากกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากพบว่ามีความผิดปกติในเรื่องการสบฟัน ควรส่งปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน

โดยสามารถเริ่มประเมินการสบฟันครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุประมาณ 7 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันแท้หน้าเริ่มขึ้นและขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต ทันตแพทย์จัดฟันจึงสามารถตรวจพบสัญญาณบางอย่างของปัญหาทางโครงสร้าง เช่น ฟันล่างคร่อมฟันบน (Crossbite), ฟันหน้าสบลึก (Deep bite), ฟันบนยื่นผิดปกติ (Large overjet) หรือพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การกลืนที่ผิดปกติ (Atypical swallowing) หากพบปัญหาเหล่านี้ ทันตแพทย์อาจปรึกษาให้คำแนะนำ หรือพิจารณาใช้เครื่องมือจัดฟันชนิดพิเศษ (ซึ่งไม่ใช่การติดเครื่องมือจัดฟันทั้งปาก) เช่น เครื่องมือจัดฟันถอดได้ เครื่องมือขยายขากรรไกร หรือเครื่องมือจัดฟันเพื่อปรับการเจริญเติบโตชนิดต่างๆ เช่น Facemask, Palatal expander หรือ Functional appliances เพื่อควบคุมทิศทางการเจริญเติบโตของฟันและขากรรไกรให้สมดุลมากขึ้น

วัยรุ่น: อายุ 11–14 ปี คือ “ช่วงเวลา" ที่ดีที่สุดที่เข้ามาปรึกษาจัดฟันหากพบว่ามีปัญหาเรื่องการสบฟัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ฟันแท้ขึ้นครบ (Permanent dentition) และอายุ 11–14 ปี นั้นเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกอย่างต่อเนื่องของวัยรุ่น

การจัดฟันในช่วงนี้มีข้อดี คือ

  • กระดูกยังตอบสนองต่อแรงได้ดี
  • สามารถควบคุมการเจริญเติบโตได้ในบางกรณี
  • ฟันสามารถขยับได้รวดเร็วและมีเสถียรมากกว่าผู้ใหญ่

มีรายงานที่อธิบายว่าการกระตุ้นการเจริญเติบโตในช่วงนี้จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยเฉพาะในกรณีกระดูกขากรรไกรไม่สมดุลกัน เช่น ขากรรไกรล่างเล็กสามารถใช้เครื่องมือเพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

วัยผู้ใหญ่: ในปัจจุบัน คนไข้ผู้ใหญ่ยังสามารถมารับการรักษาจัดฟันได้ปกติโดยไม่ต่างจากวัยอื่นๆ เพียงแต่การตอบสนองต่อแรงจัดฟันอาจจะช้ากว่าเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งไม่ได้แปลว่าเป็นข้อจำกัด แต่การจัดฟันในผู้ใหญ่ทันตแพทย์จัดฟันผู้ให้การรักษาจะต้องประเมินปัจจัยอื่นเพิ่มเติมมากขึ้น และให้การรักษาด้วยความระมัดระวัง เช่น ประวัติการรักษาด้านอื่นๆภายในช่องปาก สภาวะอวัยวะปริทันต์และเหงือก ความเสี่ยงของการละลายรากฟัน รวมไปถึงสุขภาพและโรคประจำตัวของคนไข้ เป็นต้น

การจัดฟันในผู้ใหญ่มักต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้:

  • สุขภาพเหงือกและกระดูกรองรับฟัน (Periodontal condition)
  • การรักษาร่วมกับการทำฟันปลอม รากเทียม หรือครอบฟัน
  • ระยะเวลาที่ใช้จัดฟันอาจนานขึ้น
  • ต้องมีวินัยในการใส่เครื่องมือและเกี่ยวยาง แม้จะมีการทำงานหรือพบปะผู้คน

โดยสรุป หากคุณพ่อคุณแม่กังวลปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติกว่าเด็กร่วมวัย สามารถเริ่มพาบุตรหลานมาพบทันตแพทย์จัดฟันได้ตั้งแต่ฟันหน้าแท้เริ่มขึ้นในช่วงอายุ 7 ปี โดยทันตแพทย์จัดฟันจะทำการ​ประเมินการสบฟันว่าควรเริ่มการรักษาด้วยเครื่องมือพิเศษหรือไม่ ส่วนอายุที่จะเริ่มจัดฟันโดยเครื่องมือติดแน่นทั้งปากได้นั้นมักอยู่ในช่วงวัยรุ่น และยาวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยอายุนั้นไม่ใช่ข้อจำกัดในการจัดฟัน เพียงแต่อาจมีปัจจัยที่ต้องได้รับการคำนึงเพิ่มเติม ซึ่งควรได้รับการตรวจและประเมินด้วยทันตแพทย์จัดฟันก่อนเริ่มการรักษาครับ